Last updated: 28 พ.ค. 2562 | 3132 จำนวนผู้เข้าชม |
ในยุคดิจิตอลที่ทุกอย่างพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีและข้อมูลข่าวสารเพิ่มปริมาณขึ้นเป็นสองเท่าในทุกๆ 10 ปี และยังมีสื่อต่างๆ ที่สามารถเข้าถึงทุกคนได้ทุกที่ การเลี้ยงดูเด็กยุคนี้ในแบบเดิมๆ อาจไม่เท่าทันต่อสังคมดิจิตอลที่เขาต้องเจอ หรือในทางตรงกันข้าม การที่ผู้ปกครองเลือกใช้เทคโนโลยีเป็นตัวช่วยในการเลี้ยงลูก อาจส่งผลลบต่อพัฒนาการของเด็กได้เช่นกันถ้าหยิบยื่นเทคโนโลยีพร้อมข้อมูลข่าวสารต่างๆ ให้ลูกนั้นเร็วจนเกินไป ดังนั้น สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องทำคือ การสร้างสมองลูกให้พร้อมรับอนาคตที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ด้วยเทคนิคที่สอดคล้องกับพัฒนาการของลูก
เอนฟา เอพลัส ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญมาแนะเทคนิคเสริมทักษะสมองให้กับลูกน้อยในยุค ดิจิตัล เริ่มที่
ผศ.ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร อาจารย์และผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านศูนย์ปฐมวัย
สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล
ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคการสร้างวินัยเชิงบวกเพื่อการ พัฒนาสมอง จิตใจ และพฤติกรรม The 101s: A Guide to Positive Discipline ของ Dr. Katherine C. Kersey ผลงานวิจัยซึ่งรวมเอาหลักการทางจิตวิทยาและพัฒนาการสมอง มาใช้ในการเสริมสร้างพัฒนาการเด็กปฐมวัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ กล่าวว่า "สมองของคนเรามีโครงสร้างทั้งหมด 3 ส่วน
* ส่วนที่อยู่ บริเวณท้ายทอยคือสมองส่วนสัญชาตญาณ ทำหน้าที่หลักเกี่ยวกับการมีชีวิตรอด ควบคุมระบบอัตโนมัติของร่างกาย
* ส่วนที่สองตรงกลางคือสมองส่วนอารมณ์ ทำหน้าที่เกี่ยวกับความ รู้สึก การเรียนรู้ และจดจำ ซึ่งทั้งสองส่วนนี้ เจริญเติบโตเต็มที่ตั้งแต่แรกเกิด
* สมองส่วนที่สาม คือสมองส่วนหน้า ซึ่งอยู่บริเวณด้านหลังหน้าผาก เป็นสมองส่วนคิดและควบคุมอารมณ์นั้นจะพัฒนาเต็มที่เมื่ออายุ 25 ปี
ดังนั้น ตั้งแต่แรกเกิดจึงเป็นช่วงที่ คุณพ่อคุณแม่ควรส่งเสริมการทำงานของสมองส่วนหน้า เพื่อให้ลูกรู้จักควบคุมอารมณ์และ สัญชาตญาณ ผ่านการคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล (Critical Thinking) กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) ด้วยการสื่อสาร (Communication) ที่สอดคล้องกับการพัฒนาของสมอง และเรียนรู้ การอยู่ร่วมกันในสังคม (Collaboration) อย่างมีความสุข ซึ่งทั้งหมดนี้จะก่อให้เกิดคุณภาพของความผูกพันในครอบครัวระหว่างพ่อแม่และลูก
ในช่วงปฐมวัยพ่อแม่จึงควรใช้เทคนิคการสร้างวินัยเชิงบวก ซึ่งเป็นการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ประมวลง่าย ไม่กระตุ้นอารมณ์และสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของเด็ก เช่น แทนที่จะสอนลูกด้วยคำติว่า ทำไมอยู่ไม่สุข ไม่มีสมาธิทำการบ้านเลยนะ เปลี่ยนเป็น แม่ชอบหนูตอนนี้ ดูมีสมาธิระบายสีมากเลย เพื่อให้ลูกเข้าใจก่อนว่าสมาธิคืออะไร ซึ่งการสื่อสารด้วยคำพูดเชิงบวกนี้จะกลายเป็นคลังคำที่ลูกเอาไว้ใช้อธิบายสิ่งต่างๆกับตัวเอง ใช้สื่อสารกับผู้อื่น ใช้คิดวิเคราะห์ พ่อแม่จึงควรแน่ใจว่าสิ่งที่พูด กับลูกจะสร้างคลังคำและคลังประสบการณ์ที่ดี ซึ่งจะทำให้สมองส่วนสัญชาตญาณและอารมณ์ได้ทำงานร่วม กับสมองส่วนคิด ก่อให้เกิดการคิดวิเคราะห์ ความคิดสร้างสรรค์ การสื่อสารที่ดีและความอยากมีส่วนร่วมกับผู้อื่นตามมา"
ผศ.นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์
กุมารแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม และรองอธิการบดี มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช กล่าวว่า "สำหรับพ่อแม่ที่มีเวลาน้อยหรือเหนื่อยล้า จากการทำงาน ก็สามารถช่วยกระตุ้นความฉลาด และพัฒนาการของลูกผ่านการเลี้ยงดูโดยไม่จำเป็นต้องหยิบยื่นเทคโนโลยีให้" รวมถึงการดูแลด้านโภชนาการที่ถูกต้องด้วยสารอาหารอย่างดีเอชเอในปริมาณที่เหมาะสม
"ในส่วนของการเตรียมความพร้อมให้ลูกก้าวทันโลกที่เปลี่ยนแปลง พ่อแม่ควรให้ลูกเข้าถึงเทคโนโลยีให้ช้าที่สุดเท่าที่ทำได้" ฉะนั้นเด็กต่ำกว่า 2 ขวบ ไม่ควรให้ดูโทรทัศน์หรือไอแพด เพราะจะกีดขวางพัฒนาการทุกๆ ด้าน และควรเสริมด้วยกิจกรรมที่ช่วยพัฒนาทักษะแห่งอนาคตต่างๆ ทั้ง 4 อย่าง ให้แก่ลูก อาทิ
1. การตั้งคำถามปลายเปิดเพื่อฝึกการคิดวิเคราะห์
2. การเปิดโอกาสให้ลูกได้ลองทำอะไรใหม่ๆ ช่วยเสริม ความคิดสร้างสรรค์
3. การปลูกฝังเรื่องการร่วมมือ แบ่งปัน ช่วยเหลือ เพื่อสร้างพื้นฐานความฉลาดทางอารมณ์และสังคมที่ดี
4. การกระตุ้นให้เด็กพูดคุยและสื่อสารถ่ายทอดความคิดอย่าง มีระบบ เพื่อการสร้างทักษะการสื่อสารที่เฉียบคม ด้วยการให้ลูกเล่านิทานสลับกับพ่อแม่ เป็นต้น
ถ้าพ่อแม่เลี้ยงลูกอย่างชาญฉลาด ให้ลูกมีความพร้อมทั้งทางสมองและทักษะที่หลากหลาย เขาก็จะซึมซับความชาญฉลาดจากพ่อแม่ และนำมาต่อยอดความฉลาดของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว
...............................
เครดิตรูปภาพ
http://metro.co.uk
http://www.betterparenting.com/protecting-kids-digital-identities/
24 ก.ย. 2563
27 ก.ย. 2563
24 ต.ค. 2562
3 เม.ย 2563